รีเซต

5 ข้อควรระวัง โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายจากยุงลายที่ทำอันตรายถึงชีวิต

5 ข้อควรระวัง โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายจากยุงลายที่ทำอันตรายถึงชีวิต
BeauMonde
13 กรกฎาคม 2565 ( 08:05 )
419

     นอกจากโรคโควิด-19 ที่ยังสร้างความหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากำลังจะเข้าสู่โรคประจำถิ่นก็ตาม ตอนนี้ก็มีโรคฝีดาษวานรที่เราต้องเฝ้าระวังกันแล้ว หากจะกล่าวถึงหนึ่งในโรคระบาดที่อยู่กับประเทศไทยมาอย่างยาวนานคงไม่พ้นโรคไข้เลือดออก ภัยที่มากับยุงลายและภูมิอากาศแบบเขตร้อนชื้น บางรายมีอาการรุนแรงและอาจมีอาการแทรกซ้อนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ถึงแม้ว่าเราจะคุ้นเคยกับโรคไข้เลือดออก แต่ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจที่หลายคนอาจยังไม่รู้ มาดูกันว่า 5 ข้อน่าเฝ้าระวัง เพื่อรู้ทันโรคไข้เลือดออกมีอะไรบ้าง

 

 

5 ข้อควรระวัง โรคไข้เลือดออก

 

1. ระบาดสูงสุดในช่วงฤดูฝน

     โรคไข้เลือดออกมีการระบาดตลอดปี แต่จะระบาดสูงสุดในช่วงฤดูฝน พื้นที่น้ำท่วมขังและพื้นที่ที่มีอุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียสขึ้นไป เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เชื้อไข้เลือดออกสามารถส่งต่อผ่านยุงลายจากรุ่นสู่รุ่นในไข่ ไข่ของยุงลายสามารถทนอากาศ ทนความร้อน อยู่ได้นานหลายเดือน และกระจายไปได้ทั่วโลก ด้วยสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศในปัจจุบันที่ส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 1 องศาเซลเซียส ทำให้บางพื้นที่ที่เคยมีอุณหภูมิต่ำ ยุงลายไม่สามารถวางไข่ได้ กลับอุ่นขึ้น และเริ่มพบการระบาดของโรคไข้เลือดออกในพื้นที่เหล่านั้น บางประเทศที่ไม่เคยต้องรับมือกับโรคไข้เลือดออกจึงต้องสร้างความตระหนักให้กับภาคประชาชนมากขึ้น ซึ่งหมายถึงแนวโน้มของจำนวนประชากรโลกที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคไข้เลือดออกนั้นเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกในปี พ.ศ. 2562 โรคไข้เลือดออกถือเป็นภัยด้านสาธารณสุข 1 ใน 10 อันดับของโลก ประชากรโลกกว่าครึ่งอยู่ภายใต้ภัยคุกคามของโรคไข้เลือดออก ในละปีมีผู้ติดเชื้อกว่า 390 ล้านคน และผู้เสียชีวิตกว่า 20,000 คน

 

2. โรคไข้เลือดออกเป็นซ้ำได้

     โรคระบาดบางประเภท มักเกิดในพื้นที่แออัด หรือเกิดกับคนที่มีลักษณะทางกายภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่จำกัดเชื้อชาติหรืออายุ เพียงแค่อยู่ในพื้นที่ที่มียุงลายก็สามารถเป็นได้ ใครเป็นแล้วก็เป็นซ้ำอีกได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสเดงกีที่เป็นที่มาของโรคไข้เลือดออกมีถึง 4 สายพันธุ์ด้วยกัน หากติดเชื้อสายพันธุ์ใดแล้วจะไม่มีการติดซ้ำ แต่การติดเชื้อครั้งที่ 2 กับสายพันธุ์ใหม่จะมีอาการรุนแรงกว่าครั้งแรก

 

3. อาการของไข้เลือดออก

     อาการที่พบได้ทั่วไปคือ ไข้ขึ้นสูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดตา คลื่นไส้ อาเจียน และเกิดผื่นที่ผิวหนัง หากอาการรุนแรงมักพบว่ามีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ มีเลือดออกในทางเดินอาหาร ซึมหรือกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น

 

4. โรคไข้เลือดออกไม่มียารักษา

     การดูแลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกคือต้องคอยสังเกตอาการ เนื่องจากยังไม่มียารักษาจำเพาะ หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงต้องนำส่งโรงพยาบาลทันที เพื่อให้อยู่ในความดูแลใกล้ชิดของแพทย์ การกินยาอย่างถูกต้องเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญของโรคไข้เลือดออก เนื่องจากหนึ่งในอาการของโรคคือเกล็ดเลือดต่ำ การกินยาแอสไพรินเพื่อลดไข้จึงเป็นสิ่งที่ควรเลี่ยงอย่างมาก เพราะจะส่งผลให้เลือดออกง่ายขึ้น และห้ามกินยาในกลุ่ม NSAIDs เป็นอันขาด

 

5. โรคไข้เลือดออกป้องกันได้

     โรคไข้เลือดออกเป็นโรคประจำถิ่นที่ยังไม่มีการป้องกันได้ 100% ทุกฝ่ายจึงต้องเฝ้าระวังและป้องกัน สิ่งแรกที่เราทำได้คือเริ่มจากตัวเราเอง การดูแลสภาพภายในบ้านและที่ทำงานไม่ให้มีแหล่งน้ำขัง คอยเปลี่ยนแหล่งน้ำขังในบ้านให้สะอาด ไม่ให้ยุงลายมาวางไข่ ซึ่งการสร้างพฤติกรรมที่ดีเหล่านี้สามารถเริ่มได้เสมอ ในช่วงปี พ.ศ. 2564-2565 อัตราป่วยอาจจะพบมากในเด็กวัย 5-14 ปีเป็นส่วนใหญ่ เพราะโรงเรียนเป็นพื้นที่เสี่ยงในการที่นักเรียนจะถูกยุงลายกัดตอนกลางวัน และผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกส่วนมากเป็นวัยรุ่น การสร้างความตระหนักรู้ในการป้องกันโรค จะช่วยลดอุบัติการณ์เกิดโรค ความรุนแรงของโรค และการเสียชีวิตจากโรคนี้ได้

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

สิทธิประโยชน์แนะนำ

แท็กยอดนิยม

บทความที่เกี่ยวข้อง